ตู้ไฟสแตนเลส IP55-IP66
ตู้ไฟสแตนเลส IP55 – IP66 คือ ตู้ควบคุมหรือเก็บอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตจากวัสดุสแตนเลส ซึ่งมีคุณสมบัติกันสนิม ทนต่อการกัดกร่อน และเหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นหรือฝุ่นสูง โดย ระดับ IP55-IP66 (Ingress Protection) เป็นมาตรฐานที่บอกถึงความสามารถในการป้องกันฝุ่นและน้ำ มีให้เลือกฝาทึบหรือฝากระจกใสตามความต้องการในการมองเห็นอุปกรณ์ภายใน ติดตั้งบนเสาไฟ, ภายนอกอาคาร, ในระบบโซลาร์เซลล์ หรือตู้ควบคุมมอเตอร์ในฟาร์มการเกษตร
การเลือกตู้ไฟสแตนเลสสำหรับใช้งานภายนอกอาคาร
การติดตั้ง ระบบควบคุมไฟฟ้าในพื้นที่กลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม สถานีไฟฟ้าย่อย ระบบโซลาร์เซลล์ ฟาร์มเกษตร หรือแม้กระทั่งระบบไฟส่องสว่างตามถนน จำเป็นต้องเลือกอุปกรณ์ที่ทนทานต่อ สภาพแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งแตกต่างจากการใช้งานในอาคารปิด ตู้คอนโทรลภายนอกต้องเผชิญกับ ฝนตกหนัก ละอองฝน หรือน้ำค้าง ที่สามารถซึมเข้าสู่ตู้และทำลายอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในได้ การเลือกใช้ตู้สแตนเลสที่มีมาตรฐาน IP55 หรือ IP66 จะช่วยป้องกันน้ำเข้าตัวตู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รายละเอียดสินค้าและราคา
สินค้าและบทความใกล้เคียง
ตู้สแตนเลสดีไซน์หลังคาแบบลาดเอียง หรือหลังคาเชื่อมติด
ดีไซน์หลังคาแบบลาดเอียง (Sloped Roof) หรือแบบเชื่อมติด (Welded Roof) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่นและน้ำเข้าได้อย่างดีเยี่ยม โดยหลังคาเชื่อมติดจะเน้นความแข็งแรงและป้องกันการรั่วซึม ส่วนหลังคาลาดเอียงช่วยให้สิ่งสกปรกและน้ำฝนไหลออกง่าย ลดการสะสมบนตู้ เหมาะกับงานกลางแจ้งและอุตสาหกรรมที่เน้นความสะอาด ตัวเลือกทั้งสองแบบสามารถสะท้อนถึงคุณภาพและความใส่ใจในงานออกแบบ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าเมื่อนำไปใช้งานจริง
ตารางเปรียบเทียบวัสดุการใช้งาน ภายนอกอาคาร
| วัสดุ | คุณสมบัติเด่น | การใช้งานที่เหมาะสม |
|---|---|---|
| สแตนเลสเกรด 304 | ทนสนิมดีเยี่ยม เหมาะกับอากาศทั่วไป ทนแดดฝน ใช้งานกลางแจ้งได้ในระดับมาตรฐาน | ติดตั้งภายนอกอาคาร, ระบบโซลาร์เซลล์, ตู้มอเตอร์ทั่วไป |
| สแตนเลสเกรด 316 | ทนสารเคมีและไอทะเลสูง เหมาะกับพื้นที่ติดทะเลหรืออุตสาหกรรมเคมีโดยเฉพาะ | โรงงานเคมี, โรงไฟฟ้าใกล้ทะเล, ติดตั้งชายฝั่งหรือท่าเรือ |
| เหล็กพ่นสี (Powder Coated) | เคลือบกันสนิม สีลอกได้ในระยะยาว เหมาะกับสภาพแวดล้อมไม่รุนแรง | งานภายในโรงงาน, ใช้งานกลางแจ้งชั่วคราว, พื้นที่ไม่มีไอเค็มหรือสารเคมี |
สรุป:
ถ้าเน้นความ ทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอก → เลือก สแตนเลส 304 หรือ 316
ถ้างบประมาณจำกัดและใช้ เฉพาะในอาคาร → ใช้ เหล็กพ่นสี ก็เพียงพอ
สแตนเลส 316 เหมาะที่สุดสำหรับพื้นที่ที่มี ละอองเค็ม หรือ ไอเคมี เช่น ริมทะเลหรือโรงงานปิโตรเคมี
การใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าในตู้ควบคุม:
ในสภาพแวดล้อมที่มี ฝุ่นหนาแน่น เช่น โรงงานไม้, โรงหล่อเหล็ก, หรือไซต์ก่อสร้าง มักมีเศษวัสดุอย่าง ปูน, เศษไม้, และผงคาร์บอน ที่สามารถลอยเข้าตู้ได้ง่าย
หากฝุ่นสะสมใน ตู้สแตนเลส จะส่งผลต่อการระบายความร้อน, ก่อให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
โครงสร้างดังกล่าวช่วยเพิ่มระดับ IP (Ingress Protection) ให้สูงขึ้น เช่น IP55, IP65 หรือ IP66 รองรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีฝุ่นมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากป้องกันฝุ่นแล้ว ยังช่วยป้องกันความชื้นและละอองน้ำไม่ให้รั่วไหลเข้าภายในตู้
ข้อแตกต่างระหว่างสแตนเลส 304 กับเหล็กพ่นสี
| หัวข้อ | สแตนเลส 304 (Stainless Steel 304) | เหล็กพ่นสี (Powder Coated Steel) |
|---|---|---|
| การทนต่อสนิม/ความชื้น | ทนสนิมได้ดีมาก ไม่เป็นสนิมแม้ในที่เปียกชื้น | มีแนวโน้มเกิดสนิมเมื่อสีหลุด หรือในพื้นที่ชื้นสูง |
| ความแข็งแรงทนทาน | แข็งแรง ทนแรงกระแทกและการกัดกร่อนได้ดี | แข็งแรง แต่ทนต่อการกัดกร่อนน้อยกว่าสแตนเลส |
| การใช้งานกลางแจ้ง | เหมาะสำหรับใช้งานกลางแจ้ง เช่น ติดตั้งบนเสาไฟ, ภายนอกอาคาร | เหมาะสำหรับใช้งานภายในอาคาร หรือพื้นที่ที่มีหลังคาคลุม |
การตู้ไฟสแตนเลสสั่งทำผลิตตามขนาด
การสั่งผลิตตู้คอนโทรลสแตนเลสกันน้ำต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น ประเภทของตู้ (แขวนผนัง, ตั้งพื้น, มีหลังคา) ขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งาน, ประเภทประตู (บานเดี่ยวหรือบานคู่), มาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น (IP Rating) ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมการใช้งาน เช่น IP55, IP65 หรือ IP66 และวัสดุที่ใช้ (304 หรือ 316) ซึ่งขึ้นอยู่กับความทนทานต่อการกัดกร่อนและสารเคมีต่างๆ การเลือกตู้ไฟฟ้าที่ตรงกับความต้องการจะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น.
| ข้อกำหนด | คำอธิบาย |
|---|---|
| 1. ประเภทของตู้ | – ตู้แขวนผนัง (Wall-Mounted): ติดตั้งบนผนัง ประหยัดพื้นที่ เหมาะกับอุปกรณ์ขนาดเล็กหรือในพื้นที่จำกัด – ตู้ตั้งพื้น (Floor-Standing): รองรับอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับโรงงานหรือสถานีไฟฟ้า – ตู้มีหลังคา (With Roof): เหมาะสำหรับการติดตั้งกลางแจ้ง ป้องกันน้ำฝนและแสงแดดได้ดี |
| 2. ขนาดของตู้ และฟังค์ชั่นเพิ่มเติม | ขนาดมีผลต่อราคาตู้สแตนเลสต้องพิจารณาจากอุปกรณ์ที่จะติดตั้ง เช่น ขนาดของแผงควบคุมไฟฟ้า, เครื่องมือ หรือวงจรไฟฟ้า รวมถึงพื้นที่ที่ใช้ติดตั้ง |
| 3. ประเภทประตู | – บานเดี่ยว (Single Door): เหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็กและใช้งานง่าย – บานคู่ (Double Door): เหมาะกับตู้ขนาดใหญ่ที่ต้องการเปิดกว้างเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ |
| 4. มาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น (IP Rating) | – IP55: กันฝุ่นบางส่วนและน้ำที่มีแรงดันปานกลาง – IP66: ป้องกันฝุ่น 100% และกันน้ำแรงดันสูง |
| 5. วัสดุที่ใช้ | – สแตนเลส 304: เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ทนทานต่อการกัดกร่อน |
ลดการบำรุงรักษาด้วยตู้ไฟสแตนเลส: แข็งแรง ทนสนิม ใช้ได้นาน
ตู้คอนโทรบสแตนเลสเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการลดการบำรุงรักษาเนื่องจากวัสดุสแตนเลสมีคุณสมบัติทนทานต่อการกัดกร่อนและการเกิดสนิมมากกว่าตู้เหล็กพ่นสี โดยไม่ต้องเคลือบสีใหม่ทุกปี และไม่เกิดการเสียหายจากแรงกระแทกหรือสภาพอากาศที่รุนแรง นอกจากนี้ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในโดยป้องกันความชื้นและฝุ่น จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมในระยะยาว
1. วัสดุป้องกันสนิมอย่างมีประสิทธิภาพ สแตนเลสเกรด 304 หรือ 316 มีความสามารถในการต้านทานการกัดกร่อนสูง ไม่ขึ้นสนิมแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง หรือใกล้ทะเล ซึ่งแตกต่างจากเหล็กพ่นสีที่ต้องพึ่งการเคลือบผิวและมีโอกาสลอกหรือสนิมกินในระยะยาว
2. ไม่ต้องทาสีหรือเคลือบผิวซ้ำ ตู้เหล็กทั่วไปมักต้องมีการทาสีใหม่หรือเคลือบกันสนิมทุก ๆ 2-3 ปี ในขณะที่ตู้สแตนเลสไม่ต้องบำรุงรักษาในด้านนี้เลย จึงประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
3. แข็งแรง ทนแรงกระแทกได้ดี ตัวตู้ผลิตจากแผ่นสแตนเลสคุณภาพสูง มีความหนาแน่นและความแข็งแรงที่รองรับแรงกระแทกได้ดีกว่าตู้เหล็กบางประเภท ทำให้เหมาะกับพื้นที่ติดตั้งที่มีความเสี่ยงต่อแรงกดหรือการชน
4. ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ภายในการป้องกันฝุ่น ความชื้น และสนิมได้ดีช่วยให้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายใน เช่น เบรกเกอร์, อินเวอร์เตอร์ หรือระบบ PLC มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ลดความเสียหายจากปัจจัยภายนอก
5. ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว แม้ราคา☑ ตู้สแตนเลสสูงกว่าตู้เหล็กในตอนเริ่มต้น แต่ด้วยการไม่ต้องซ่อมบำรุงบ่อย ไม่มีค่าเคลือบสี และลดความเสียหายของอุปกรณ์ภายใน ทำให้ในระยะยาว “ประหยัดและคุ้มค่า” กว่ามาก
ผลงานสินค้าและบริการของเรา
คุณสมบัติของตู้สแตนเลส 304 และ 316
1. ความทนทานต่อการกัดกร่อน:
สแตนเลส 304: มีความทนทานต่อการกัดกร่อนในสภาพแวดล้อมทั่วไป เช่น การใช้งานในบ้านหรือโรงงานที่ไม่มีสารเคมีรุนแรงหรือความชื้นสูง สามารถทนทานต่อการกัดกร่อนจากอากาศ, น้ำ, และสารเคมีทั่วไปได้ดี แต่จะเริ่มเกิดการกัดกร่อนเมื่อสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น คลอไรด์ หรือสภาพแวดล้อมที่มีความเค็มสูง
สแตนเลส 316: เนื่องจากมี โมลิบดีนัม (Mo) เพิ่มเข้ามา ช่วยให้สแตนเลส 316 มีความทนทานต่อการกัดกร่อนจากสารเคมีรุนแรง และสภาพแวดล้อมที่มีคลอไรด์สูง เช่น ใกล้ทะเล หรือต้องสัมผัสกับสารเคมีรุนแรงได้ดีกว่า เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความเค็มสูงหรือกรด
2. ความแข็งแรง:
สแตนเลส 304: มีความแข็งแรงปานกลาง สามารถรับแรงกดหรือแรงดึงได้ดี และง่ายต่อการขึ้นรูป
สแตนเลส 316: มีความแข็งแรงสูงกว่า 304 เล็กน้อย และทนทานต่อความเค้นและการกระแทกมากกว่า ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความทนทานสูง เช่น ในน้ำทะเลหรือการใช้งานในอุตสาหกรรมเคมี
3. ความทนทานต่อการเกิดสนิม:
สแตนเลส 304: แม้ว่าจะมีความทนทานต่อการเกิดสนิมในสภาพแวดล้อมทั่วไป แต่ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรือสัมผัสกับน้ำทะเลติดต่อกัน อาจเริ่มเกิดการกัดกร่อนในบางจุด
สแตนเลส 316: มีความทนทานต่อการเกิดสนิมได้ดีกว่า 304 มาก เนื่องจากการมีโมลิบดีนัมช่วยเพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อนจากน้ำทะเลและสารเคมีที่มีความเค็ม
สอบถามและปรึกษาเกี่ยวกับสินค้าได้โดยตรง
บริการนำเข้าทางเครื่องบิน (Air Freight)
มีสต็อกพร้อมส่งในประเทศ รองรับการใช้งานได้ทันที
✅ จัดส่งได้ทันทีภายใน 1–2 วันทำการ
✅ ปริมณฑล และต่างจังหวัด 2-3 วันทำการ (ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการขนส่งเอกชน) **สามารถระบุได้
สั่งผลิตตามขนาดและความต้องการใช้งานได้
✅เลือกขนาดได้อิสระ: กำหนด ความกว้าง x ความสูง x ความลึก ตามพื้นที่ใช้งาน









